29.11.12
สาคูถั่วดำ
สาคูถั่วดำ ขนมหวานของไทยเป็นของหวานสุดโปรดของน้องสาวคนสวยของเราเองค่ะ (ไม่ได้โม้นะ น้องสาวเราสวยจริงๆ) จำได้ว่าเวลา ไปทานอาหารนอกบ้าน ของหวานที่เค้าสั่งมาทานประจำคือเจ้าสาคูถั่วดำนี่เอง วันนี้เราเลยทำทานดู แต่ก็ทำแบบมั่ว ๆ ไปน่ะนะคะ พอดี ไม่มีสูตรค่ะ
ส่วนผสม
ถั่วดำ 1 ถ้วย
เมล็ดสาคู 2/3 ถ้วย
หัวกะทิ 1 1/2 ถ้วย
น้ำตาลปึก 2 ก้อน
น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย
เกลือ 1/2 ชช.
น้ำสะอาด 4-5 ถ้วย
วิธีทำ
ขั้นแรกเลยก็นำถั่วดำแช่น้ำข้ามคืนทิ้งไว้ค่ะ หรือถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็แช่น้ำร้อนไว้สัก 1 ชม. ก็ได้ค่ะ จากนั้นก็นำหม้อมา หนึ่งใบ ใส่น้ำสะอาดสัก 2 ถ้วย ใส่ถั่วดำลงไปต้ม พอสุกก็เทน้ำออก แล้วเติมน้ำสะอาดอีก 2 ถ้วยลงไปต้มต่อจนนิ่มค่ะ ถ้าน้ำแห้งไป ก็เติมน้ำเพิ่มได้นะคะ
หม้ออีกใบใส่น้ำ 1 ถ้วย นำขึ้นตั้งไฟ พอน้ำเดือดก็ใส่เมล็ดสาคูลงไปต้ม คนเป็นระยะ เพื่อไม่ให้สาคูติดก้นหม้อ ต้มไปเรื่อย ๆ จนสาคูสุกใสไม่มีเม็ดสีขาวตรงกลาง ก็เทน้ำออกค่ะ
ใส่น้ำตาลปึก น้ำตาลทราย และเกลือลงไปในหม้อถั่วดำ คนพอน้ำตาลละลายก็เทสาคูใส่ ตามด้วยกะทิ 1 ถ้วย คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ต้มต่อพอเดือดก็ปิดไฟค่ะ ตอนทานก็ราดด้วยหัวกะทิส่วนที่เหลือค่ะ จะได้สาคูถั่วดำที่รสชาติหวานมัน เข้มข้น อร่อย
26.11.12
ตะโก้แห้ว 2 สูตร +เทคนิคการประกอบ (จบ)
ขนมตะโก้แห้วใบเตย
Tago Haew Bai Toei(Water chestnuts in green pudding)
ส่วนผสม
แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง
น้ำคั้นใบเตยหอม ½ ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกมะลิ 3 ½ ถ้วยตวง
น้ำปูนใส ½ ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง
แห้วหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 เซนติเมตร 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1.ยีแป้งถั่วเขียวให้ละเอียด ใส่น้ำคั้นใบเตยหอมและน้ำลอยดอกมะลิ ตั้งไฟอ่อนปานกลาง คนด้วยช้อนไม้ขนาดใหญ่ให้แป้งสุกใส
2.ใส่น้ำปูนใสคนต่อให้เข้ากันดี จึงใส่น้ำตาลทรายคนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย
3.ใส่แห้ว กวนต่อให้ขนมเหนียวพอควร ตักใส่ถาดขนาด 4½ *1½*1½ นิ้วฟุต 2 ถาด ปาดหน้าให้เรียบ
4.พอขนมเย็นตัดแบ่งถาดละ 9 ชิ้น
5.วิธีจัดเสิร์ฟ ตักขนม 1 ชิ้น ใส่จานหวานเฉพาะคน พร้อมด้วยช้อนหวานแช่ตู้เย็นไว้ก่อนเสิร์ฟ
เทคนิคการประกอบ
1.ใบเตยหอม มีกลิ่นหอมให้สีเขียวตามธรรมชาติ วิธีใช้คือหั่นเป็นเส้นฝอยละเอียด ใส่น้ำเล็กน้อย บดละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำ
2.แป้งถั่วเขียวมีคุณสมบัติเมื่อสุกแล้ว ใส แข็ง เหมือนวุ้น ไม่ติดภาชนะ
3.น้ำปูนใส ช่วยให้ขนมทรงตัวดีขึ้น เนื่องจากใส่ถาดและขนมชิ้นใหญ่ จึงต้องใช้น้ำปูนใสช่วย วิธีทำน้ำปูนใส ใช้ปูนแดง ½ ช้อนชา ใส่น้ำ ½ ถ้วยตวง ตั้งทิ้งไว้สักครู่ ใช้ส่วนน้ำใส
4.แห้วดิบ ล้างเปลือกให้สะอาดก่อนปอก
Tago Haew Bai Toei(Water chestnuts in green pudding)
ส่วนผสม
แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง
น้ำคั้นใบเตยหอม ½ ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกมะลิ 3 ½ ถ้วยตวง
น้ำปูนใส ½ ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง
แห้วหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 เซนติเมตร 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1.ยีแป้งถั่วเขียวให้ละเอียด ใส่น้ำคั้นใบเตยหอมและน้ำลอยดอกมะลิ ตั้งไฟอ่อนปานกลาง คนด้วยช้อนไม้ขนาดใหญ่ให้แป้งสุกใส
2.ใส่น้ำปูนใสคนต่อให้เข้ากันดี จึงใส่น้ำตาลทรายคนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย
3.ใส่แห้ว กวนต่อให้ขนมเหนียวพอควร ตักใส่ถาดขนาด 4½ *1½*1½ นิ้วฟุต 2 ถาด ปาดหน้าให้เรียบ
4.พอขนมเย็นตัดแบ่งถาดละ 9 ชิ้น
5.วิธีจัดเสิร์ฟ ตักขนม 1 ชิ้น ใส่จานหวานเฉพาะคน พร้อมด้วยช้อนหวานแช่ตู้เย็นไว้ก่อนเสิร์ฟ
เทคนิคการประกอบ
1.ใบเตยหอม มีกลิ่นหอมให้สีเขียวตามธรรมชาติ วิธีใช้คือหั่นเป็นเส้นฝอยละเอียด ใส่น้ำเล็กน้อย บดละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำ
2.แป้งถั่วเขียวมีคุณสมบัติเมื่อสุกแล้ว ใส แข็ง เหมือนวุ้น ไม่ติดภาชนะ
3.น้ำปูนใส ช่วยให้ขนมทรงตัวดีขึ้น เนื่องจากใส่ถาดและขนมชิ้นใหญ่ จึงต้องใช้น้ำปูนใสช่วย วิธีทำน้ำปูนใส ใช้ปูนแดง ½ ช้อนชา ใส่น้ำ ½ ถ้วยตวง ตั้งทิ้งไว้สักครู่ ใช้ส่วนน้ำใส
4.แห้วดิบ ล้างเปลือกให้สะอาดก่อนปอก
20.11.12
บัวลอยทรงเครื่อง
วันนี้อยากกินบัวลอยไข่หวานมากๆ อดรนทนไม่ไหวทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำขนมหวานสักระยะหนึ่ง เพราะช่วงนี้อืดไม่เกรงใจใครเลย แต่สุดท้ายก็ แพ้เสียงเรียกร้องของหัวใจไม่ไหว ลงมือทำจนได้สิน่า ปริมาณส่วนผสมที่ให้ไว้ข้างล่างนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ตวงนะคะ กะๆ เอาน่ะค่ะ ยังไงถ้า แห้งไปก็เติมน้ำสะอาดหน่อยนวดจนแป้งเนียนดีแล้วจึงปั้นนะคะส่วนผสมโดยประมาณ สำหรับรับประทาน 3 คนนะคะ
1. หางกะทิ 1 1/2 ถ้วย
2. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
3. น้ำตาลปี๊บ 1/4 ถ้วย
4. น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
5. เผือกปอกเปลือกหั่นเต๋า 1/4 ถ.
6. ไข่ไก่ 3 ฟอง
7. หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
8. เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเส้น 1/4 ถ.เผือก
- สีขาว
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วยเผือก 1/3 ถ้วยน้ำเปล่า 1-2 ชต.
ต้มหรือนึ่งเผือกจนสุก แล้วบดให้ละเอียด ผสมแป้งข้าวเหนียวนวดรวมให้เป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าแห้งไปเติมน้ำเล็กน้อย เมื่อแป้งเนียนมือดีแล้วก็ใช้ พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะฟักทอง
- สีเหลือง
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วยฟักทอง 1/3 ถ้วย
ต้มหรือนึ่งฟักทองจนสุก แล้วบดให้ละเอียด ผสมแป้งข้าวเหนียวนวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อแป้งเนียนมือดีแล้วก็ใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะใบเตย
- สีเขียว
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วยน้ำใบเตยข้นๆ 2-3 ชต.
ผสมแป้งข้าวเหนียวกับน้ำใบเตย นวดจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะบลูเบอรี่
- สีม่วง
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วยบลูเบอรี่บดละเอียดแล้วกรอง 2-3 ชต.
ผสมแป้งและบลูเบอรี่เข้าด้วยกัน นวดจนแป้งเนียน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะสตรอว์เบอรี่
- สีชมพู
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วยสตรอว์เบอรี่บดละเอียดแล้วกรอง 2-3 ชต.
ผสมแป้งและสตรอว์เบอรี่เข้าด้วยกัน นวดจนแป้งเนียน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะ
วิธีทำ
เมื่อนวดแป้งเสร็จแล้วก็มาปั้นบัวลอยกันค่ะ เราแบ่งแป้งประมาณครึ่งหนึ่งของทุกสีมาปั้นเป็นเม็ดกลมๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1/2 ซม. ค่ะ
อ้อ.. อย่าลืมโรยแป้งมันบางๆ บนเม็ดบัวลอยกันแป้งติดกันด้วยนะคะ
แป้งส่วนที่เหลือ เรานำมาปั้นเป็นบัวลอยแฟนซีหลากสีค่ะ
วิธีปั้นก็แค่ปั้นแป้งแต่ละสีเป็นแท่งผอมๆ ยาวๆ หนาประมาณ 1/2 ซม.
แล้วก็นำทั้ง สองสี มาประกบกัน แบ่งปั้นเป็นเม็ดกลมๆ แค่นี้ก็ได้บัวลอยแฟนซีหลากสีสันแล้วค่ะ
นำหางกะทิ น้ำตาลปี๊บ และน้ำตาลทรายใส่หม้อตั้งไฟกลางต้มจนเดือด
แล้วใส่เม็ดบัวลอยที่ปั้นไว้ต้มจนเม็ดบัวลอยสุกลอยขึ้นมา
ใส่เผือกที่หั่นไว้ แล้วตอกไข่ใส่ลงไป ต้มประมาณ 5-6 นาทีจนไข่สุก
ใส่หัวกะทิต้มต่อพอเดือดก็ปิดไฟ ชิมรสตามชอบ
ใส่มะพร้าวอ่อนลงไป เรียบร้อยค่ะ
ที่มา : varithorn.de
19.11.12
ขนมลูกชุบ
สูตรนี้ไม่หวานมาก แต่เนื้อเนียนนุ่ม เหมาะจะทานคู่กับชากลีบดอกไม้
ปั้นได้ประมาณ 200 ลูก ขึ้นอยู่กับขนาดที่จะปั้นแต่ละลูก เพราะสิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างสองอย่างนี้คือ การที่ชาดอกไม้ช่วยดึงรสหวานของเนื้อลูกชุบเมื่อถูกเคล้าด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบชาเขียว ดอกมะลิและลิลี่ที่อวลอยู่ในชา กลายเป็นช่วงเวลาที่ชวนจดจำมิอาจลืม
ส่วนผสม :
ถั่วเขียวซีกที่กระเทาะเปลือกแล้ว 1/2 กิโลกรัม
มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม
น้ำตาลทรายขาว 1/2 กิโลกรัม
น้ำ 1/2 ลิตร
วุ้นผง 1 ซอง
สีผสมอาหาร และไม้เสียบลูกชิ้น
วิธีทำ :
แช่ถั่วซีกในน้ำนาน 1 ชั่วโมงครึ่ง ล้างแล้วสะเด็ดน้ำ นำมานึ่งจนสุก
ระหว่างนี้แบ่งครึ่งมะพร้าวขูด โดยนำส่วนแรกมาคั้นเอาน้ำกะทิลงต้มในหม้อ
เติมน้ำตาลแล้วนำไปละลายบนเตาด้วยความร้อนปานกลาง
ส่วนที่สองนำมาเคล้ากับถั่วซีกที่นึ่งสุก แล้วนำมาปั่นละเอียดจนได้เนื้อเนียนนุ่ม
จากนั้นเทลงในหม้อ ที่กำลังต้มน้ำกะทิ เคี่ยวให้เข้ากันจนเริ่มเดือด
เมื่อเริ่มแห้งแล้วให้หรี่ไฟ แล้วกวนไปเรื่อยๆ จนได้ความเหนียวตามต้องการ หรือให้พอปั้นได้
ยกลงจากเตา รอให้เย็น
ระหว่างนี้ละลายวุ้นกับน้ำ เติมน้ำตาลเล็กน้อย เคี่ยวในหม้อด้วยไฟร้อนปานกลางจนข้นพอเพื่อให้เนื้อเคลือบที่ติดผิวลูกชุบมีความหนาพอประมาณ ยกลงจากเตารอให้เย็น
จากนั้นนำถั่วกวนที่เย็นแล้วมาปั้นให้เป็นรูปทรงผลไม้ตามต้องการ
เสียบตรงขั้วด้วยไม้เสียบลูกชิ้นเพื่อระบายสี ตากให้แห้งพอหมาด แล้วชุบลงในหม้อวุ้น รอให้แห้ง
ถอดออกจากไม้ ตัดและแต่งให้เรียบร้อย
16.11.12
หม้อแกงถ้วยทอง
หม้อแกงถ้วยทอง
ส่วนผสมแป้ง
แป้งสาลีเอนกประสงค์ 2 ถ้วย
เนยสด 90 กรัม
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำเย็น 4 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ผสมแป้ง เกลือป่น เนยสด ใช้เบรนเดอร์ตัดแป้งให้มีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ
2. พรมน้ำในแป้ง ตะล่อมแป้งให้รวมเป็นก้อน คลึงแป้งให้เป็นแผ่นบาง กรุใส่พิมพ์ ถ้วยจีบ ใช้ส้อมจิ้มไล่อากาศให้ทั่ว
3. นำเข้าอบไฟ 300?ฟาเรนไฮต์ จนแป้งสุกเหลืองพักให้เย็น
ส่วนผสมหม้อแกง
ไข่เป็ดฟองใหญ่ 4 ฟอง
น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
กะทิข้นๆ 1 ถ้วย
ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุกบดละเอียด 1 ถ้วย
น้ำมันพืช 3/4 ถ้วย
หอมแดงซอย 3/4 ถ้วย
วิธีทำ
1. เจียวหอมให้เหลืองตักขึ้น เก็บน้ำมันไว้
2. ผสมถั่วกับกะทิให้เข้ากัน
3. ขยำไข่กับน้ำตาลปีบ น้ำตาลทรายให้ข้น ใส่ส่วนผสมในข้อ 2 คนให้เข้ากัน
4. เทใส่กระทะทองเหลือง ตั้งไฟกวนให้งวด ใส่น้ำมันที่เหลือจากเจียวหอม กวนให้เข้ากัน ยกลงพักให้เย็น
5. ตักใส่แป้งที่อบแล้ว แต่งหน้าด้วยหอมเจียว นำเข้าเตาอบไฟ 300?ฟาเรนไฮต์ เวลา 5 นาที6. เอาออกจากพิมพ์ พักไว้ให้เย็นเคล็ดลับ ถั่วเขียวเลาะเปลือกต้องบดให้ละเอียด หรือปั่นกับกะทิให้ละเอียด มิฉะนั้นเนื้อขนมหม้อแกงจะไม่ละเอียด
ส่วนผสมแป้ง
แป้งสาลีเอนกประสงค์ 2 ถ้วย
เนยสด 90 กรัม
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำเย็น 4 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ผสมแป้ง เกลือป่น เนยสด ใช้เบรนเดอร์ตัดแป้งให้มีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ
2. พรมน้ำในแป้ง ตะล่อมแป้งให้รวมเป็นก้อน คลึงแป้งให้เป็นแผ่นบาง กรุใส่พิมพ์ ถ้วยจีบ ใช้ส้อมจิ้มไล่อากาศให้ทั่ว
3. นำเข้าอบไฟ 300?ฟาเรนไฮต์ จนแป้งสุกเหลืองพักให้เย็น
ส่วนผสมหม้อแกง
ไข่เป็ดฟองใหญ่ 4 ฟอง
น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
กะทิข้นๆ 1 ถ้วย
ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุกบดละเอียด 1 ถ้วย
น้ำมันพืช 3/4 ถ้วย
หอมแดงซอย 3/4 ถ้วย
วิธีทำ
1. เจียวหอมให้เหลืองตักขึ้น เก็บน้ำมันไว้
2. ผสมถั่วกับกะทิให้เข้ากัน
3. ขยำไข่กับน้ำตาลปีบ น้ำตาลทรายให้ข้น ใส่ส่วนผสมในข้อ 2 คนให้เข้ากัน
4. เทใส่กระทะทองเหลือง ตั้งไฟกวนให้งวด ใส่น้ำมันที่เหลือจากเจียวหอม กวนให้เข้ากัน ยกลงพักให้เย็น
5. ตักใส่แป้งที่อบแล้ว แต่งหน้าด้วยหอมเจียว นำเข้าเตาอบไฟ 300?ฟาเรนไฮต์ เวลา 5 นาที6. เอาออกจากพิมพ์ พักไว้ให้เย็นเคล็ดลับ ถั่วเขียวเลาะเปลือกต้องบดให้ละเอียด หรือปั่นกับกะทิให้ละเอียด มิฉะนั้นเนื้อขนมหม้อแกงจะไม่ละเอียด
ประวัติขนมไทย
ประวัติขนมไทย
ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ
ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกันตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์
ขนมไทย เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งานศิริมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ
ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกันตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์
ขนมไทย เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งานศิริมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
14.11.12
ขนมสาลี่ 2 สูตร (จบ)
ขนมสาลี่
ส่วนผสม
แป้งเค้ก 1+1/2 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายละเอียด 1 ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 1-2 ช้อนชา
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
1.ตีไข่ไก่ด้วยความเร็วสูงให้ไข่ไก่เข้ากัน ประมาณ 10-15 นาที
2.ค่อยๆใส่น้ำตาลลงในไข่ทีละน้อย(ขณะตีไข่) ใส่จนน้ำตาลหมดใส่เกลือป่นตีต่อไปเรื่อยๆ จนไข่ฟู ป็นสีครีมขาว
3.ใส่มะนาว กลิ่นวนิลา ตีต่อไปจนไข่ตั้งฟูเต็มที่ ค่อยๆใส่แป้งอย่างเบามือลงในไข่ไก่ที่ตีขึ้นแล้วสลับกับน้ำลอยดอกมะลิ เคล้าเบา ๆ ให้เข้ากันแล้วเทลงในถาดขนมที่นึ่งไว้จนร้อนจัดแล้วทันที นึ่งขนมด้วยไฟกลางประมาณ 20-30 นาที
4.ใช้ไม้เสียบลูกชิ้น จิ้มลงตรงกลางขนม แล้วดูที่ไม้ถ้ามีเศษขนมติดอยู่ให้นึ่งต่อไปจนขนมแห้งสุกดีแล้ว เนื้อขนมจะขึ้นฟูและมีกลิ่นหอมอ่อนๆหมายเหตุในขณะนึ่งควรไม่ให้ไอนำหยดลงบนหน้าขนม เพราะจะให้หน้าขนมเสียไม่สวย
ส่วนผสม
แป้งเค้ก 1+1/2 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายละเอียด 1 ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 1-2 ช้อนชา
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
1.ตีไข่ไก่ด้วยความเร็วสูงให้ไข่ไก่เข้ากัน ประมาณ 10-15 นาที
2.ค่อยๆใส่น้ำตาลลงในไข่ทีละน้อย(ขณะตีไข่) ใส่จนน้ำตาลหมดใส่เกลือป่นตีต่อไปเรื่อยๆ จนไข่ฟู ป็นสีครีมขาว
3.ใส่มะนาว กลิ่นวนิลา ตีต่อไปจนไข่ตั้งฟูเต็มที่ ค่อยๆใส่แป้งอย่างเบามือลงในไข่ไก่ที่ตีขึ้นแล้วสลับกับน้ำลอยดอกมะลิ เคล้าเบา ๆ ให้เข้ากันแล้วเทลงในถาดขนมที่นึ่งไว้จนร้อนจัดแล้วทันที นึ่งขนมด้วยไฟกลางประมาณ 20-30 นาที
4.ใช้ไม้เสียบลูกชิ้น จิ้มลงตรงกลางขนม แล้วดูที่ไม้ถ้ามีเศษขนมติดอยู่ให้นึ่งต่อไปจนขนมแห้งสุกดีแล้ว เนื้อขนมจะขึ้นฟูและมีกลิ่นหอมอ่อนๆหมายเหตุในขณะนึ่งควรไม่ให้ไอนำหยดลงบนหน้าขนม เพราะจะให้หน้าขนมเสียไม่สวย
ขนมลืมกลืน
ส่วนผสมตัวแป้ง
แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกมะลิ 5 ถ้วยตวง
น้ำใบเตยคั้น 1/2 ถ้วยตวง
หน้าขนม
กะทิ 3 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 2 ช้อนชา
กลิ่นมะลิ 1/4 ช้อนชา
โรยหน้า
ถั่วทองคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
-ละลายแป้งถั่วกับน้ำลอยดอกมะลิ และน้ำใบเตยคั้น
-ใส่น้ำตาลคนให้เข้ากัน ตั้งไฟกวนจนข้นสุกจะมีลักษณะขาวใส
-ยกลงหยอดใส่ถ้วยหรือหยอดใส่ใบตองตัดเป็นวงกลมขนาด 1 1/2 นิ้ว
-ผสมส่วนผสมของหน้าขนมให้เข้ากัน
-ตั้งไฟอ่อน กวนให้สุกข้น
-ยกลงหยอดทับตัวขนมตรง กลางอย่าให้เต็ม
-โรยหน้าด้วยถั่วทองคั่ว 2 - 3 เม็ด ต่อหนึ่งอัน
ที่มา : thaigoodview.com
13.11.12
ขนมเปียกปูน
ส่วนผสม
แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วยตวง
แป้งมัน 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลปีบ 1 1/2 ถ้วยตวง
น้ำปูนใส 6 ถ้วยตวง
น้ำใบเตยคั้นหรือ 1 ถ้วยตวง
น้ำกาบมะพร้าวเผา
แต่งหน้า
มะพร้าวทึมทึกขูด 1 ลูก
เกลือ 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
-ผสมแป้งสองชนิดรวมกันในอ่างผสม ใส่น้ำตาลปีบ ค่อย ๆ
-ใส่น้ำปูนใสลงนวดจนหมด
-ใส่น้ำใบเตยหรือน้ำกาบมะพร้าวเผา คนให้เข้ากัน
-ตั้งไฟกวนไฟอ่อน ให้กวนไปทางเดียวกันจนขนมข้นแห้งและเหนียว
-ยกลงเทใส่ถาดหรือพิมพ์ขณะที่ขนมยังร้อนอยู่
-ปาดหน้าให้เรียบ ขนมเย็นแคะออกจากพิมพ์ รับประทานกับมะพร้าวทึมทึกขูดผสมเกลือ
11.11.12
ขนมสาลี่ 2 สูตร (1)
ขนมสาลี่ 2 สูตร
ส่วนผสม
แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
ไข่เป็ด 10 ฟองสีผสมอาหารตามใจชอบ
(บางสีอาจใช้ดอกไม้หรือใบไม้ได้ เช่น สีเขียว -ใบเตย,สีม่วง -ดอกอัญชัญ)
ลูกเกด (สำหรับแต่งหน้าขนม)
วิธีทำ
1.ตอกไข่ใส่ชาม แล้วใช้ส้อมตีแรงๆ ระหว่างตีนั้นก็ใส่น้ำตาลทรายลงไปด้วย ตีไข่จนขึ้นเป็นสีขาวนวล
2.ร่อนแป้งสาลี แล้วนำไปผสมในไข่ คนเบาๆจนแป้งละลายดีจึงใส่สีผสมอาหารลงไป (ไม่ควรใส่มาก ควรผสมให้เป็นสีโทนอ่อน จะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม)
3.นำกระดาษปูลงในถาดที่จะใช้นึ่งขนม จากนั้นเทแป้งลงในถาด (หรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้) และแต่งหน้าด้วยลูกเกด (แล้วแต่ความชอบ)
4.ตั้งหม้อนึ่งรอจนน้ำเดือด จึงนำถาด (หรือแบบพิมพ์) ที่ใส่แป้งลงไปนึ่ง ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ถ้าแป้งหนาอาจต้องใช้เวลา นึ่งนานขึ้น (20-25 นาที) เมื่อสุกดีแล้วจึงยกลง ทิ้งไว้ให้เย็นตัดเป็นชิ้นๆ
จัดใส่จานเสริฟ
ส่วนผสม
แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
ไข่เป็ด 10 ฟองสีผสมอาหารตามใจชอบ
(บางสีอาจใช้ดอกไม้หรือใบไม้ได้ เช่น สีเขียว -ใบเตย,สีม่วง -ดอกอัญชัญ)
ลูกเกด (สำหรับแต่งหน้าขนม)
วิธีทำ
1.ตอกไข่ใส่ชาม แล้วใช้ส้อมตีแรงๆ ระหว่างตีนั้นก็ใส่น้ำตาลทรายลงไปด้วย ตีไข่จนขึ้นเป็นสีขาวนวล
2.ร่อนแป้งสาลี แล้วนำไปผสมในไข่ คนเบาๆจนแป้งละลายดีจึงใส่สีผสมอาหารลงไป (ไม่ควรใส่มาก ควรผสมให้เป็นสีโทนอ่อน จะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม)
3.นำกระดาษปูลงในถาดที่จะใช้นึ่งขนม จากนั้นเทแป้งลงในถาด (หรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้) และแต่งหน้าด้วยลูกเกด (แล้วแต่ความชอบ)
4.ตั้งหม้อนึ่งรอจนน้ำเดือด จึงนำถาด (หรือแบบพิมพ์) ที่ใส่แป้งลงไปนึ่ง ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ถ้าแป้งหนาอาจต้องใช้เวลา นึ่งนานขึ้น (20-25 นาที) เมื่อสุกดีแล้วจึงยกลง ทิ้งไว้ให้เย็นตัดเป็นชิ้นๆ
จัดใส่จานเสริฟ
วุ้นสายรุ้ง
ส่วนผสม
วุ้นชนิดเป็นเส้น 50 กรัม
น้ำลอยดอกมะลิ 10 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
น้ำใบเตยคั้น, สีผสมอาหาร, กาแฟ
หน้า
วุ้นชนิดเป็นเส้น 30 กรัม
น้ำลอยดอกมะลิ 4 ถ้วยตวง
กะทิข้น ๆ 6 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วยตวง
เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วยตวง
วิธีทำ
-นำวุ้นแช่น้ำให้นิ่มตัดเป็นท่อนใส่น้ำ
-ตั้งไฟจนวุ้นละลายหมด ใส่น้ำตาล เคี่ยวจนละลาย
-ยกลงมาแบ่งเป็นสีต่างๆ ทั้งหมด 4 ส่วน คือ สีชมพู สีเขียวใบเตย สีเหลือง สีกาแฟ
หน้าวุ้น
-นำวุ้นแช่น้ำให้นิ่มตัดเป็นท่อนเล็ก ๆ ใส่น้ำ
-ตั้งไฟจนวุ้นละลายหมดผสมกะทิ น้ำตาล เกลือ แป้งข้าวเจ้าให้เข้ากัน
-เทวุ้นที่ละลายใส่ แล้วคนให้ เดือดข้น
-ยกลงเทวุ้นลงพิมพ์สลับสีกัน
-เริ่มด้วยสีกาแฟสลับกะทิ สีชมพูสลับกะทิ สีเหลืองสลับกะทิ สีใบเตยสลับกะทิ
-โดยให้กะทิอยู่ชั้นบนสุก เมื่อเทลงพิมพ์ได้สีครบตามต้องการ พักให้วุ้นเย็นจึงแคะออก
ที่มา : thaigoodview.com
10.11.12
ข้าวเหนียวตัด
ส่วนผสมตัว
ข้าวเหนียว 700 กรัม
หางกะทิ 3 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
เกลือ 2 ช้อนชา
หน้า
หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 3/4 ถ้วยตวง
กลิ่นมะลิ 1/4 ช้อนชา
โรยหน้า
ถั่วดำต้มแล้ว 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
-ละลายหางกะทิ น้ำตาล เกลือเข้าด้วยกัน
-แช่ข้าวเหนียวในน้ำอย่างน้อย 3 ชั่วโมง สงขึ้นผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
-เทใส่ถาด ขนาด 12x12 นิ้ว ใส่กะทิส่วนผสมของตัวขนม
-เทข้าวเหนียวลงให้ทั่ว ตั้งลังถึงไฟแรงน้ำเดือด
-นึ่งส่วนผสมตัวขนมประมาณ 1/2 ชั่วโมง
-ส่วนผสมหน้า ผสมกะทิ เกลือ น้ำตาล แป้งข้าวเจ้า กลิ่นมะลิให้เข้ากัน
-เทราดบนตัวขนมที่นึ่ง สุกแล้ว นึ่งต่ออีก 10 นาที
-ขนมสุกยกลง โรยหน้าด้วยถั่วดำให้สวยงาม
ที่มา : thaigoodview.com
9.11.12
ขนมแป้งสิบไส้ปลา
ขนมแป้งสิบไส้ปลา
สำหรับมือใหม่หัดทำอย่างเราๆ คงต้องท่องเวลาทำไว้ว่า การนวดแป้งคือหัวใจสำคัญของความอร่อย
สูตร แป้งสิบ หรือ ปั้นขลิบ แล้วแต่ใครจะเรียกนี้ ทำได้ประมาณ 400 ตัว เพราะสูตรที่ได้นี้มีมายาวนาน 43 ปี กับชื่อของคุณกบ แห่งร้านขนมแป้งสิบที่ตลาดสหกรณ์ศาลาน้ำเย็น เป็นป้ายประกันรับรองความอร่อย แป้งที่เนียวนุ่มเป็นพิเศษของสูตรนี้ เข้าคู่กันกับชาเขียวที่ชงจากผงชนิดเข้มข้น ช่วยดับกลิ่นคาวของปลาได้ดีที่สุด
ส่วนผสมสำหรับแป้ง :
แป้งมันตรามังกรจีน 1/2 กิโลกรัม
แป้งข้าวเจ้า ตราช้างสามเศียร 1/4 กิโลกรัม
แป้งข้าวเจ้าชูถิ่น 1/4 กิโลกรัม
น้ำสะอาด
ส่วนผสมสำหรับไส้ปลา :
เนื้อปลาตาเดียว 1/2 กิโลกรัม, นึ่งจนสุก แกะเอาเนื้อออกแล้วยีตีให้ฟู
หอมแดงซอยละเอียด 1/2 กิโลกรัม
รากผักชี 2-3 ต้น
กระเทียม 1/2 ขีด
พริกไทยบด 1/4 ขีด
ถั่วลิสงคั่วบด 1/2 ขีด
น้ำตาลปี๊บ 1 ขีด
น้ำตาลทราย 1 ขีด
น้ำปลา และเกลือ
วิธีทำ :
เริ่มทำไส้ปลาโดยโขลกรากผักชี พริกไทย และกระเทียมในครกจนละเอียด
นำไปผัดในกระทะน้ำมันด้วยไฟร้อนปานกลางจนหอม
เติมหอมแดง ผัดจนโทรม เติมน้ำตาลปี๊บและน้ำตาลทราย ปรุงรสด้วยน้ำปลาและเกลือเล็กน้อย
จากนั้นเติมเนื้อปลา ผัดให้หอม หรี่ไฟลงอ่อน กวนจนแห้ง
เติมถั่วลิสง คั่วจนเข้ากันดี ยกลงจากเตาแล้วพักไว้
จากนั้นเป็นการทำแป้ง โดยร่อนแป้งทั้งสามลงในชามผสม รินน้ำทีละน้อย
ใช้มือกวนและบี้จนจับกับเป็นก้อนนิ่มๆ ก้อนใหญ่ นวดแล้วปั้นให้เป็นก้อน เจาะรูตรงกลางให้เหมือนโดนัทเพื่อไล่อากาศ
จากนั้นนำลงต้มในหม้อน้ำเดือดนานหนึ่งนาที ใช้กระชอนสะเด็ดน้ำ
แล้วนำมานวดด้วยมือ โดยขยำและบี้ให้เนื้อที่ยังเป็นผงตรงกลางแตกและเริ่มกลายเป็นเนื้อเดียวกันเยาะน้ำใส่ทีละนิด ขณะคลึงนวดให้ได้เนื้อเหนียว ทำซ้ำอีกครั้งโดยเจาะรูตรงกลางแล้วนำลงต้มอีกครั้งแต่ครั้งนี้นาน 10 นาที หรือจนแป้งสุก
สังเกตได้ว่าแป้งจะลอยตัวขึ้นบนผิวน้ำ ใช้กระชอนสะเด็ดน้ำ นำส้อมมาจิ้มเพื่อระบายอากาศ แล้วใช้มือนวดให้ได้ความนิ่มเหมือนก้นเด็ก
จากนั้นนำไปแช่ในน้ำอุณหภูมิปกติให้คลายร้อน ประมาณ 10-20 นาที แล้วนำมาสะเด็ดน้ำเพื่อนวดอีกครั้ง จากนั้นแบ่งออก ปั้นแล้วคลึงให้เป็นแผ่นบางๆ
นำไส้ปลาที่เตรียมไว้มาใส่ แล้วจับจีบที่ขอบให้เป็นเกลียวโดยพยายามอย่าให้เก็บอากาศตรงกลาง
จากนั้นนำไปนึ่งแล้วทาด้วยน้ำมันพืชเพื่อป้องกันการติดกัน
สูตรอร่อยจาก : คุณกบ ร้านขนมแป้งสิบ ตลาดสหกรณ์ ศาลาน้ำเย็น ถ.วัดสุธาวาส
ที่มา : นิตยสาร Livingetc ฉบับภาษาไทย
สำหรับมือใหม่หัดทำอย่างเราๆ คงต้องท่องเวลาทำไว้ว่า การนวดแป้งคือหัวใจสำคัญของความอร่อย
สูตร แป้งสิบ หรือ ปั้นขลิบ แล้วแต่ใครจะเรียกนี้ ทำได้ประมาณ 400 ตัว เพราะสูตรที่ได้นี้มีมายาวนาน 43 ปี กับชื่อของคุณกบ แห่งร้านขนมแป้งสิบที่ตลาดสหกรณ์ศาลาน้ำเย็น เป็นป้ายประกันรับรองความอร่อย แป้งที่เนียวนุ่มเป็นพิเศษของสูตรนี้ เข้าคู่กันกับชาเขียวที่ชงจากผงชนิดเข้มข้น ช่วยดับกลิ่นคาวของปลาได้ดีที่สุด
ส่วนผสมสำหรับแป้ง :
แป้งมันตรามังกรจีน 1/2 กิโลกรัม
แป้งข้าวเจ้า ตราช้างสามเศียร 1/4 กิโลกรัม
แป้งข้าวเจ้าชูถิ่น 1/4 กิโลกรัม
น้ำสะอาด
ส่วนผสมสำหรับไส้ปลา :
เนื้อปลาตาเดียว 1/2 กิโลกรัม, นึ่งจนสุก แกะเอาเนื้อออกแล้วยีตีให้ฟู
หอมแดงซอยละเอียด 1/2 กิโลกรัม
รากผักชี 2-3 ต้น
กระเทียม 1/2 ขีด
พริกไทยบด 1/4 ขีด
ถั่วลิสงคั่วบด 1/2 ขีด
น้ำตาลปี๊บ 1 ขีด
น้ำตาลทราย 1 ขีด
น้ำปลา และเกลือ
วิธีทำ :
เริ่มทำไส้ปลาโดยโขลกรากผักชี พริกไทย และกระเทียมในครกจนละเอียด
นำไปผัดในกระทะน้ำมันด้วยไฟร้อนปานกลางจนหอม
เติมหอมแดง ผัดจนโทรม เติมน้ำตาลปี๊บและน้ำตาลทราย ปรุงรสด้วยน้ำปลาและเกลือเล็กน้อย
จากนั้นเติมเนื้อปลา ผัดให้หอม หรี่ไฟลงอ่อน กวนจนแห้ง
เติมถั่วลิสง คั่วจนเข้ากันดี ยกลงจากเตาแล้วพักไว้
จากนั้นเป็นการทำแป้ง โดยร่อนแป้งทั้งสามลงในชามผสม รินน้ำทีละน้อย
ใช้มือกวนและบี้จนจับกับเป็นก้อนนิ่มๆ ก้อนใหญ่ นวดแล้วปั้นให้เป็นก้อน เจาะรูตรงกลางให้เหมือนโดนัทเพื่อไล่อากาศ
จากนั้นนำลงต้มในหม้อน้ำเดือดนานหนึ่งนาที ใช้กระชอนสะเด็ดน้ำ
แล้วนำมานวดด้วยมือ โดยขยำและบี้ให้เนื้อที่ยังเป็นผงตรงกลางแตกและเริ่มกลายเป็นเนื้อเดียวกันเยาะน้ำใส่ทีละนิด ขณะคลึงนวดให้ได้เนื้อเหนียว ทำซ้ำอีกครั้งโดยเจาะรูตรงกลางแล้วนำลงต้มอีกครั้งแต่ครั้งนี้นาน 10 นาที หรือจนแป้งสุก
สังเกตได้ว่าแป้งจะลอยตัวขึ้นบนผิวน้ำ ใช้กระชอนสะเด็ดน้ำ นำส้อมมาจิ้มเพื่อระบายอากาศ แล้วใช้มือนวดให้ได้ความนิ่มเหมือนก้นเด็ก
จากนั้นนำไปแช่ในน้ำอุณหภูมิปกติให้คลายร้อน ประมาณ 10-20 นาที แล้วนำมาสะเด็ดน้ำเพื่อนวดอีกครั้ง จากนั้นแบ่งออก ปั้นแล้วคลึงให้เป็นแผ่นบางๆ
นำไส้ปลาที่เตรียมไว้มาใส่ แล้วจับจีบที่ขอบให้เป็นเกลียวโดยพยายามอย่าให้เก็บอากาศตรงกลาง
จากนั้นนำไปนึ่งแล้วทาด้วยน้ำมันพืชเพื่อป้องกันการติดกัน
สูตรอร่อยจาก : คุณกบ ร้านขนมแป้งสิบ ตลาดสหกรณ์ ศาลาน้ำเย็น ถ.วัดสุธาวาส
ที่มา : นิตยสาร Livingetc ฉบับภาษาไทย
ข้าวต้มมัด
ส่วนผสม
ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
เกลือ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วยตวง
กล้วยน้ำว้า 1 หวี
ถั่วดำต้มแล้ว 300 กรัม
ไส้เผือกกวน
เผือกนึ่งแล้วบด 1 กิโลกรัม
น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
กะทิข้น ๆ 1 ถ้วยตวง
เครื่องห่อ
ตอก, ใบตอง
วิธีทำ
-แช่ข้าวเหนียวในน้ำอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
-ผสมกะทิ เกลือคนให้เข้ากัน ตั้งไฟพอเดือดใส่น้ำตาลทรายลงกวนให้เข้ากัน
-จนกระทั่งพอเริ่มแห้ง ยกลง
-ฉีกใบตอง ขนาด 8 นิ้ว , 7 นิ้ว สองขนาดวางซ้อนกัน
-หยิบข้าวเหนียวที่ผัดได้ที่แล้วใส่กล้วยผ่าตามยาวครึ่งลูก หรือไส้เผือกกวน
-วางข้าวเหนียวทับไส้ให้มิดบางๆ ใส่ถั่วดำ ห่อข้าวต้มให้ สวยงาม
-มัดด้วยตอกหรือเชือกให้แน่น ประกบคู่มัดเป็นสองช่วงหัวท้าย
-นึ่งข้าวต้มที่ห่อแล้วประมาณ 45 นาที หรือ 1 ชั่วโมง จนข้าวเหนียวสุก
วิธีทำการทำเผือกกวน
-ผสมส่วนผสมทั้งหมดรวมกันตั้งไฟกวนจนแห้งปั้นได้ นำไปใส่ไส้ข้าวเหนียว
ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
เกลือ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วยตวง
กล้วยน้ำว้า 1 หวี
ถั่วดำต้มแล้ว 300 กรัม
ไส้เผือกกวน
เผือกนึ่งแล้วบด 1 กิโลกรัม
น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
กะทิข้น ๆ 1 ถ้วยตวง
เครื่องห่อ
ตอก, ใบตอง
วิธีทำ
-แช่ข้าวเหนียวในน้ำอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
-ผสมกะทิ เกลือคนให้เข้ากัน ตั้งไฟพอเดือดใส่น้ำตาลทรายลงกวนให้เข้ากัน
-จนกระทั่งพอเริ่มแห้ง ยกลง
-ฉีกใบตอง ขนาด 8 นิ้ว , 7 นิ้ว สองขนาดวางซ้อนกัน
-หยิบข้าวเหนียวที่ผัดได้ที่แล้วใส่กล้วยผ่าตามยาวครึ่งลูก หรือไส้เผือกกวน
-วางข้าวเหนียวทับไส้ให้มิดบางๆ ใส่ถั่วดำ ห่อข้าวต้มให้ สวยงาม
-มัดด้วยตอกหรือเชือกให้แน่น ประกบคู่มัดเป็นสองช่วงหัวท้าย
-นึ่งข้าวต้มที่ห่อแล้วประมาณ 45 นาที หรือ 1 ชั่วโมง จนข้าวเหนียวสุก
วิธีทำการทำเผือกกวน
-ผสมส่วนผสมทั้งหมดรวมกันตั้งไฟกวนจนแห้งปั้นได้ นำไปใส่ไส้ข้าวเหนียว
1.11.12
ขนมดอกจอก
ขนมดอกจอก
มีลักษณะคล้ายดอกไม้ตามรูปพิมพ์ เนื้อขนมจะกรอบร่วนแต่ไม่แข็ง ขนมจะมีรสหวานจากกะทิ
ส่วนผสม
แป้งข้าวเจ้าหอมมะลิ 100 กรัม
แป้งสาลีเอนกประสงค์ 50 กรัม
แป้งมันสำปะหลัง 90 กรัม
น้ำปูนใส 110 กรัม
กะทิ 110 กรัม
ไข่ไก่ 110 กรัม
งาขาว/งาดำ 16 กรัม
น้ำตาลทราย 90 กรัม
วิธีทำ
นวดแป้งกับน้ำกะทิ น้ำตาลทราย และน้ำปูนใส ให้แป้งละลายในส่วนผสมทั้งหมด แล้วใส่ไข่ไก่ลงไป คนส่วนผสมต่อจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วโรยงา แล้วจึงตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ไฟร้อนปานกลาง แช่พิมพ์ขนมดอกจอกในน้ำมันเพื่อให้พิมพ์ร้อนจัด ยกพิมพ์ขึ้นจากกระทะ สลัดน้ำมันเบาๆ แล้วจุ่มพิมพ์ลงในส่วนผสมของแป้ง นำลงทอดในน้ำมัน ขยับพิมพ์เล็กน้อย ขนมจะหลุดจากพิมพ์ พอเหลืองกรอบตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมัน
มีลักษณะคล้ายดอกไม้ตามรูปพิมพ์ เนื้อขนมจะกรอบร่วนแต่ไม่แข็ง ขนมจะมีรสหวานจากกะทิ
ส่วนผสม
แป้งข้าวเจ้าหอมมะลิ 100 กรัม
แป้งสาลีเอนกประสงค์ 50 กรัม
แป้งมันสำปะหลัง 90 กรัม
น้ำปูนใส 110 กรัม
กะทิ 110 กรัม
ไข่ไก่ 110 กรัม
งาขาว/งาดำ 16 กรัม
น้ำตาลทราย 90 กรัม
วิธีทำ
นวดแป้งกับน้ำกะทิ น้ำตาลทราย และน้ำปูนใส ให้แป้งละลายในส่วนผสมทั้งหมด แล้วใส่ไข่ไก่ลงไป คนส่วนผสมต่อจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วโรยงา แล้วจึงตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ไฟร้อนปานกลาง แช่พิมพ์ขนมดอกจอกในน้ำมันเพื่อให้พิมพ์ร้อนจัด ยกพิมพ์ขึ้นจากกระทะ สลัดน้ำมันเบาๆ แล้วจุ่มพิมพ์ลงในส่วนผสมของแป้ง นำลงทอดในน้ำมัน ขยับพิมพ์เล็กน้อย ขนมจะหลุดจากพิมพ์ พอเหลืองกรอบตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมัน
Subscribe to:
Posts (Atom)