29.11.12

สาคูถั่วดำ


สาคูถั่วดำ ขนมหวานของไทยเป็นของหวานสุดโปรดของน้องสาวคนสวยของเราเองค่ะ (ไม่ได้โม้นะ น้องสาวเราสวยจริงๆ) จำได้ว่าเวลา ไปทานอาหารนอกบ้าน ของหวานที่เค้าสั่งมาทานประจำคือเจ้าสาคูถั่วดำนี่เอง วันนี้เราเลยทำทานดู แต่ก็ทำแบบมั่ว ๆ ไปน่ะนะคะ พอดี ไม่มีสูตรค่ะ

ส่วนผสม
ถั่วดำ 1 ถ้วย
เมล็ดสาคู 2/3 ถ้วย
หัวกะทิ 1 1/2 ถ้วย
น้ำตาลปึก 2 ก้อน
น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย
เกลือ 1/2 ชช.
น้ำสะอาด 4-5 ถ้วย

วิธีทำ
ขั้นแรกเลยก็นำถั่วดำแช่น้ำข้ามคืนทิ้งไว้ค่ะ หรือถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็แช่น้ำร้อนไว้สัก 1 ชม. ก็ได้ค่ะ จากนั้นก็นำหม้อมา หนึ่งใบ ใส่น้ำสะอาดสัก 2 ถ้วย ใส่ถั่วดำลงไปต้ม พอสุกก็เทน้ำออก แล้วเติมน้ำสะอาดอีก 2 ถ้วยลงไปต้มต่อจนนิ่มค่ะ ถ้าน้ำแห้งไป ก็เติมน้ำเพิ่มได้นะคะ
หม้ออีกใบใส่น้ำ 1 ถ้วย นำขึ้นตั้งไฟ พอน้ำเดือดก็ใส่เมล็ดสาคูลงไปต้ม คนเป็นระยะ เพื่อไม่ให้สาคูติดก้นหม้อ ต้มไปเรื่อย ๆ จนสาคูสุกใสไม่มีเม็ดสีขาวตรงกลาง ก็เทน้ำออกค่ะ
ใส่น้ำตาลปึก น้ำตาลทราย และเกลือลงไปในหม้อถั่วดำ คนพอน้ำตาลละลายก็เทสาคูใส่ ตามด้วยกะทิ 1 ถ้วย คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ต้มต่อพอเดือดก็ปิดไฟค่ะ ตอนทานก็ราดด้วยหัวกะทิส่วนที่เหลือค่ะ จะได้สาคูถั่วดำที่รสชาติหวานมัน เข้มข้น อร่อย



26.11.12

ตะโก้แห้ว 2 สูตร +เทคนิคการประกอบ (จบ)

ขนมตะโก้แห้วใบเตย
Tago Haew Bai Toei(Water chestnuts in green pudding)

ส่วนผสม
แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง
น้ำคั้นใบเตยหอม ½ ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกมะลิ 3 ½ ถ้วยตวง
น้ำปูนใส ½ ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง
แห้วหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 เซนติเมตร 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.ยีแป้งถั่วเขียวให้ละเอียด ใส่น้ำคั้นใบเตยหอมและน้ำลอยดอกมะลิ ตั้งไฟอ่อนปานกลาง คนด้วยช้อนไม้ขนาดใหญ่ให้แป้งสุกใส
2.ใส่น้ำปูนใสคนต่อให้เข้ากันดี จึงใส่น้ำตาลทรายคนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย
3.ใส่แห้ว กวนต่อให้ขนมเหนียวพอควร ตักใส่ถาดขนาด 4½ *1½*1½ นิ้วฟุต 2 ถาด ปาดหน้าให้เรียบ
4.พอขนมเย็นตัดแบ่งถาดละ 9 ชิ้น
5.วิธีจัดเสิร์ฟ ตักขนม 1 ชิ้น ใส่จานหวานเฉพาะคน พร้อมด้วยช้อนหวานแช่ตู้เย็นไว้ก่อนเสิร์ฟ

เทคนิคการประกอบ
1.ใบเตยหอม มีกลิ่นหอมให้สีเขียวตามธรรมชาติ วิธีใช้คือหั่นเป็นเส้นฝอยละเอียด ใส่น้ำเล็กน้อย บดละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำ
2.แป้งถั่วเขียวมีคุณสมบัติเมื่อสุกแล้ว ใส แข็ง เหมือนวุ้น ไม่ติดภาชนะ
3.น้ำปูนใส ช่วยให้ขนมทรงตัวดีขึ้น เนื่องจากใส่ถาดและขนมชิ้นใหญ่ จึงต้องใช้น้ำปูนใสช่วย วิธีทำน้ำปูนใส ใช้ปูนแดง ½ ช้อนชา ใส่น้ำ ½ ถ้วยตวง ตั้งทิ้งไว้สักครู่ ใช้ส่วนน้ำใส
4.แห้วดิบ ล้างเปลือกให้สะอาดก่อนปอก


20.11.12

บัวลอยทรงเครื่อง


วันนี้อยากกินบัวลอยไข่หวานมากๆ อดรนทนไม่ไหวทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำขนมหวานสักระยะหนึ่ง เพราะช่วงนี้อืดไม่เกรงใจใครเลย แต่สุดท้ายก็ แพ้เสียงเรียกร้องของหัวใจไม่ไหว ลงมือทำจนได้สิน่า ปริมาณส่วนผสมที่ให้ไว้ข้างล่างนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ตวงนะคะ กะๆ เอาน่ะค่ะ ยังไงถ้า แห้งไปก็เติมน้ำสะอาดหน่อยนวดจนแป้งเนียนดีแล้วจึงปั้นนะคะส่วนผสมโดยประมาณ สำหรับรับประทาน 3 คนนะคะ


1. หางกะทิ 1 1/2 ถ้วย
2. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
3. น้ำตาลปี๊บ 1/4 ถ้วย
4. น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
5. เผือกปอกเปลือกหั่นเต๋า 1/4 ถ.
6. ไข่ไก่ 3 ฟอง
7. หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
8. เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเส้น 1/4 ถ.เผือก
- สีขาว
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วยเผือก 1/3 ถ้วยน้ำเปล่า 1-2 ชต.
ต้มหรือนึ่งเผือกจนสุก แล้วบดให้ละเอียด ผสมแป้งข้าวเหนียวนวดรวมให้เป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าแห้งไปเติมน้ำเล็กน้อย เมื่อแป้งเนียนมือดีแล้วก็ใช้ พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะฟักทอง

- สีเหลือง
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วยฟักทอง 1/3 ถ้วย
ต้มหรือนึ่งฟักทองจนสุก แล้วบดให้ละเอียด ผสมแป้งข้าวเหนียวนวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อแป้งเนียนมือดีแล้วก็ใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะใบเตย

- สีเขียว
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วยน้ำใบเตยข้นๆ 2-3 ชต.
ผสมแป้งข้าวเหนียวกับน้ำใบเตย นวดจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะบลูเบอรี่

- สีม่วง
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วยบลูเบอรี่บดละเอียดแล้วกรอง 2-3 ชต.
ผสมแป้งและบลูเบอรี่เข้าด้วยกัน นวดจนแป้งเนียน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะสตรอว์เบอรี่

- สีชมพู
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วยสตรอว์เบอรี่บดละเอียดแล้วกรอง 2-3 ชต.
ผสมแป้งและสตรอว์เบอรี่เข้าด้วยกัน นวดจนแป้งเนียน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะ


วิธีทำ
เมื่อนวดแป้งเสร็จแล้วก็มาปั้นบัวลอยกันค่ะ เราแบ่งแป้งประมาณครึ่งหนึ่งของทุกสีมาปั้นเป็นเม็ดกลมๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1/2 ซม. ค่ะ

อ้อ.. อย่าลืมโรยแป้งมันบางๆ บนเม็ดบัวลอยกันแป้งติดกันด้วยนะคะ
แป้งส่วนที่เหลือ เรานำมาปั้นเป็นบัวลอยแฟนซีหลากสีค่ะ

วิธีปั้นก็แค่ปั้นแป้งแต่ละสีเป็นแท่งผอมๆ ยาวๆ หนาประมาณ 1/2 ซม.
แล้วก็นำทั้ง สองสี มาประกบกัน แบ่งปั้นเป็นเม็ดกลมๆ แค่นี้ก็ได้บัวลอยแฟนซีหลากสีสันแล้วค่ะ
นำหางกะทิ น้ำตาลปี๊บ และน้ำตาลทรายใส่หม้อตั้งไฟกลางต้มจนเดือด

แล้วใส่เม็ดบัวลอยที่ปั้นไว้ต้มจนเม็ดบัวลอยสุกลอยขึ้นมา
ใส่เผือกที่หั่นไว้ แล้วตอกไข่ใส่ลงไป ต้มประมาณ 5-6 นาทีจนไข่สุก
ใส่หัวกะทิต้มต่อพอเดือดก็ปิดไฟ ชิมรสตามชอบ
ใส่มะพร้าวอ่อนลงไป เรียบร้อยค่ะ
ที่มา : varithorn.de


19.11.12

ขนมลูกชุบ





สูตรนี้ไม่หวานมาก แต่เนื้อเนียนนุ่ม เหมาะจะทานคู่กับชากลีบดอกไม้
ปั้นได้ประมาณ 200 ลูก ขึ้นอยู่กับขนาดที่จะปั้นแต่ละลูก เพราะสิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างสองอย่างนี้คือ การที่ชาดอกไม้ช่วยดึงรสหวานของเนื้อลูกชุบเมื่อถูกเคล้าด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบชาเขียว ดอกมะลิและลิลี่ที่อวลอยู่ในชา กลายเป็นช่วงเวลาที่ชวนจดจำมิอาจลืม



ส่วนผสม :
ถั่วเขียวซีกที่กระเทาะเปลือกแล้ว 1/2 กิโลกรัม
มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม
น้ำตาลทรายขาว 1/2 กิโลกรัม
น้ำ 1/2 ลิตร
วุ้นผง 1 ซอง
สีผสมอาหาร และไม้เสียบลูกชิ้น



วิธีทำ :
แช่ถั่วซีกในน้ำนาน 1 ชั่วโมงครึ่ง ล้างแล้วสะเด็ดน้ำ นำมานึ่งจนสุก
ระหว่างนี้แบ่งครึ่งมะพร้าวขูด โดยนำส่วนแรกมาคั้นเอาน้ำกะทิลงต้มในหม้อ
เติมน้ำตาลแล้วนำไปละลายบนเตาด้วยความร้อนปานกลาง
ส่วนที่สองนำมาเคล้ากับถั่วซีกที่นึ่งสุก แล้วนำมาปั่นละเอียดจนได้เนื้อเนียนนุ่ม
จากนั้นเทลงในหม้อ ที่กำลังต้มน้ำกะทิ เคี่ยวให้เข้ากันจนเริ่มเดือด
เมื่อเริ่มแห้งแล้วให้หรี่ไฟ แล้วกวนไปเรื่อยๆ จนได้ความเหนียวตามต้องการ หรือให้พอปั้นได้
ยกลงจากเตา รอให้เย็น


ระหว่างนี้ละลายวุ้นกับน้ำ เติมน้ำตาลเล็กน้อย เคี่ยวในหม้อด้วยไฟร้อนปานกลางจนข้นพอเพื่อให้เนื้อเคลือบที่ติดผิวลูกชุบมีความหนาพอประมาณ ยกลงจากเตารอให้เย็น
จากนั้นนำถั่วกวนที่เย็นแล้วมาปั้นให้เป็นรูปทรงผลไม้ตามต้องการ
เสียบตรงขั้วด้วยไม้เสียบลูกชิ้นเพื่อระบายสี ตากให้แห้งพอหมาด แล้วชุบลงในหม้อวุ้น รอให้แห้ง
ถอดออกจากไม้ ตัดและแต่งให้เรียบร้อย



16.11.12

หม้อแกงถ้วยทอง

หม้อแกงถ้วยทอง
ส่วนผสมแป้ง
แป้งสาลีเอนกประสงค์ 2 ถ้วย
เนยสด 90 กรัม
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำเย็น 4 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ผสมแป้ง เกลือป่น เนยสด ใช้เบรนเดอร์ตัดแป้งให้มีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ
2. พรมน้ำในแป้ง ตะล่อมแป้งให้รวมเป็นก้อน คลึงแป้งให้เป็นแผ่นบาง กรุใส่พิมพ์ ถ้วยจีบ ใช้ส้อมจิ้มไล่อากาศให้ทั่ว
3. นำเข้าอบไฟ 300?ฟาเรนไฮต์ จนแป้งสุกเหลืองพักให้เย็น

ส่วนผสมหม้อแกง
ไข่เป็ดฟองใหญ่ 4 ฟอง
น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
กะทิข้นๆ 1 ถ้วย
ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุกบดละเอียด 1 ถ้วย
น้ำมันพืช 3/4 ถ้วย
หอมแดงซอย 3/4 ถ้วย

วิธีทำ
1. เจียวหอมให้เหลืองตักขึ้น เก็บน้ำมันไว้
2. ผสมถั่วกับกะทิให้เข้ากัน
3. ขยำไข่กับน้ำตาลปีบ น้ำตาลทรายให้ข้น ใส่ส่วนผสมในข้อ 2 คนให้เข้ากัน
4. เทใส่กระทะทองเหลือง ตั้งไฟกวนให้งวด ใส่น้ำมันที่เหลือจากเจียวหอม กวนให้เข้ากัน ยกลงพักให้เย็น

5. ตักใส่แป้งที่อบแล้ว แต่งหน้าด้วยหอมเจียว นำเข้าเตาอบไฟ 300?ฟาเรนไฮต์ เวลา 5 นาที6. เอาออกจากพิมพ์ พักไว้ให้เย็นเคล็ดลับ ถั่วเขียวเลาะเปลือกต้องบดให้ละเอียด หรือปั่นกับกะทิให้ละเอียด มิฉะนั้นเนื้อขนมหม้อแกงจะไม่ละเอียด

ประวัติขนมไทย

ประวัติขนมไทย

ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ

ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกันตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์

ขนมไทย เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ

ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งานศิริมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น


14.11.12

ขนมสาลี่ 2 สูตร (จบ)

ขนมสาลี่


ส่วนผสม
แป้งเค้ก 1+1/2 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายละเอียด 1 ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 1-2 ช้อนชา
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

วิธีทำ
1.ตีไข่ไก่ด้วยความเร็วสูงให้ไข่ไก่เข้ากัน ประมาณ 10-15 นาที
2.ค่อยๆใส่น้ำตาลลงในไข่ทีละน้อย(ขณะตีไข่) ใส่จนน้ำตาลหมดใส่เกลือป่นตีต่อไปเรื่อยๆ จนไข่ฟู ป็นสีครีมขาว
3.ใส่มะนาว กลิ่นวนิลา ตีต่อไปจนไข่ตั้งฟูเต็มที่ ค่อยๆใส่แป้งอย่างเบามือลงในไข่ไก่ที่ตีขึ้นแล้วสลับกับน้ำลอยดอกมะลิ เคล้าเบา ๆ ให้เข้ากันแล้วเทลงในถาดขนมที่นึ่งไว้จนร้อนจัดแล้วทันที นึ่งขนมด้วยไฟกลางประมาณ 20-30 นาที
4.ใช้ไม้เสียบลูกชิ้น จิ้มลงตรงกลางขนม แล้วดูที่ไม้ถ้ามีเศษขนมติดอยู่ให้นึ่งต่อไปจนขนมแห้งสุกดีแล้ว เนื้อขนมจะขึ้นฟูและมีกลิ่นหอมอ่อนๆหมายเหตุในขณะนึ่งควรไม่ให้ไอนำหยดลงบนหน้าขนม เพราะจะให้หน้าขนมเสียไม่สวย

ขนมลืมกลืน


ส่วนผสมตัวแป้ง
แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง

น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกมะลิ 5 ถ้วยตวง
น้ำใบเตยคั้น 1/2 ถ้วยตวง

หน้าขนม
กะทิ 3 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 2 ช้อนชา
กลิ่นมะลิ 1/4 ช้อนชา

โรยหน้า
ถั่วทองคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ

-ละลายแป้งถั่วกับน้ำลอยดอกมะลิ และน้ำใบเตยคั้น
-ใส่น้ำตาลคนให้เข้ากัน ตั้งไฟกวนจนข้นสุกจะมีลักษณะขาวใส
-ยกลงหยอดใส่ถ้วยหรือหยอดใส่ใบตองตัดเป็นวงกลมขนาด 1 1/2 นิ้ว
-ผสมส่วนผสมของหน้าขนมให้เข้ากัน
-ตั้งไฟอ่อน กวนให้สุกข้น
-ยกลงหยอดทับตัวขนมตรง กลางอย่าให้เต็ม
-โรยหน้าด้วยถั่วทองคั่ว 2 - 3 เม็ด ต่อหนึ่งอัน

ที่มา : thaigoodview.com

13.11.12

ขนมเปียกปูน





ส่วนผสม
แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วยตวง

แป้งมัน 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลปีบ 1 1/2 ถ้วยตวง
น้ำปูนใส 6 ถ้วยตวง
น้ำใบเตยคั้นหรือ 1 ถ้วยตวง
น้ำกาบมะพร้าวเผา

แต่งหน้า
มะพร้าวทึมทึกขูด 1 ลูก
เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
-ผสมแป้งสองชนิดรวมกันในอ่างผสม
ใส่น้ำตาลปีบ ค่อย ๆ

-ใส่น้ำปูนใสลงนวดจนหมด
-ใส่น้ำใบเตยหรือน้ำกาบมะพร้าวเผา คนให้เข้ากัน
-ตั้งไฟกวนไฟอ่อน ให้กวนไปทางเดียวกันจนขนมข้นแห้งและเหนียว
-ยกลงเทใส่ถาดหรือพิมพ์ขณะที่ขนมยังร้อนอยู่
-ปาดหน้าให้เรียบ ขนมเย็นแคะออกจากพิมพ์ รับประทานกับมะพร้าวทึมทึกขูดผสมเกลือ

11.11.12

ขนมสาลี่ 2 สูตร (1)

ขนมสาลี่ 2 สูตร

ส่วนผสม
แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
ไข่เป็ด 10 ฟองสีผสมอาหารตามใจชอบ
(บางสีอาจใช้ดอกไม้หรือใบไม้ได้ เช่น สีเขียว -ใบเตย,สีม่วง -ดอกอัญชัญ)
ลูกเกด (สำหรับแต่งหน้าขนม)

วิธีทำ
1.ตอกไข่ใส่ชาม แล้วใช้ส้อมตีแรงๆ ระหว่างตีนั้นก็ใส่น้ำตาลทรายลงไปด้วย ตีไข่จนขึ้นเป็นสีขาวนวล
2.ร่อนแป้งสาลี แล้วนำไปผสมในไข่ คนเบาๆจนแป้งละลายดีจึงใส่สีผสมอาหารลงไป (ไม่ควรใส่มาก ควรผสมให้เป็นสีโทนอ่อน จะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม)
3.นำกระดาษปูลงในถาดที่จะใช้นึ่งขนม จากนั้นเทแป้งลงในถาด (หรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้) และแต่งหน้าด้วยลูกเกด (แล้วแต่ความชอบ)
4.ตั้งหม้อนึ่งรอจนน้ำเดือด จึงนำถาด (หรือแบบพิมพ์) ที่ใส่แป้งลงไปนึ่ง ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ถ้าแป้งหนาอาจต้องใช้เวลา นึ่งนานขึ้น (20-25 นาที) เมื่อสุกดีแล้วจึงยกลง ทิ้งไว้ให้เย็นตัดเป็นชิ้นๆ
จัดใส่จานเสริฟ

วุ้นสายรุ้ง


ส่วนผสม
วุ้นชนิดเป็นเส้น 50 กรัม

น้ำลอยดอกมะลิ 10 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
น้ำใบเตยคั้น, สีผสมอาหาร, กาแฟ

หน้า
วุ้นชนิดเป็นเส้น 30 กรัม

น้ำลอยดอกมะลิ 4 ถ้วยตวง
กะทิข้น ๆ 6 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วยตวง
เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วยตวง

วิธีทำ
-นำวุ้นแช่น้ำให้นิ่มตัดเป็นท่อนใส่น้ำ

-ตั้งไฟจนวุ้นละลายหมด ใส่น้ำตาล เคี่ยวจนละลาย
-ยกลงมาแบ่งเป็นสีต่างๆ ทั้งหมด 4 ส่วน คือ สีชมพู สีเขียวใบเตย สีเหลือง สีกาแฟ

หน้าวุ้น
-นำวุ้นแช่น้ำให้นิ่มตัดเป็นท่อนเล็ก ๆ ใส่น้ำ
-ตั้งไฟจนวุ้นละลายหมดผสมกะทิ น้ำตาล เกลือ แป้งข้าวเจ้าให้เข้ากัน
-เทวุ้นที่ละลายใส่ แล้วคนให้ เดือดข้น
-ยกลงเทวุ้นลงพิมพ์สลับสีกัน
-เริ่มด้วยสีกาแฟสลับกะทิ สีชมพูสลับกะทิ สีเหลืองสลับกะทิ สีใบเตยสลับกะทิ
-โดยให้กะทิอยู่ชั้นบนสุก เมื่อเทลงพิมพ์ได้สีครบตามต้องการ พักให้วุ้นเย็นจึงแคะออก

ที่มา : thaigoodview.com

10.11.12

ข้าวเหนียวตัด


ส่วนผสมตัว
ข้าวเหนียว 700 กรัม

หางกะทิ 3 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
เกลือ 2 ช้อนชา

หน้า
หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 3/4 ถ้วยตวง
กลิ่นมะลิ 1/4 ช้อนชา

โรยหน้า
ถั่วดำต้มแล้ว 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
-ละลายหางกะทิ น้ำตาล เกลือเข้าด้วยกัน
-แช่ข้าวเหนียวในน้ำอย่างน้อย 3 ชั่วโมง สงขึ้นผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
-เทใส่ถาด ขนาด 12x12 นิ้ว ใส่กะทิส่วนผสมของตัวขนม
-เทข้าวเหนียวลงให้ทั่ว ตั้งลังถึงไฟแรงน้ำเดือด
-นึ่งส่วนผสมตัวขนมประมาณ 1/2 ชั่วโมง
-ส่วนผสมหน้า ผสมกะทิ เกลือ น้ำตาล แป้งข้าวเจ้า กลิ่นมะลิให้เข้ากัน
-เทราดบนตัวขนมที่นึ่ง สุกแล้ว นึ่งต่ออีก 10 นาที
-ขนมสุกยกลง โรยหน้าด้วยถั่วดำให้สวยงาม

ที่มา : thaigoodview.com

9.11.12

ขนมแป้งสิบไส้ปลา

ขนมแป้งสิบไส้ปลา

สำหรับมือใหม่หัดทำอย่างเราๆ คงต้องท่องเวลาทำไว้ว่า การนวดแป้งคือหัวใจสำคัญของความอร่อย
สูตร แป้งสิบ หรือ ปั้นขลิบ แล้วแต่ใครจะเรียกนี้ ทำได้ประมาณ 400 ตัว เพราะสูตรที่ได้นี้มีมายาวนาน 43 ปี กับชื่อของคุณกบ แห่งร้านขนมแป้งสิบที่ตลาดสหกรณ์ศาลาน้ำเย็น เป็นป้ายประกันรับรองความอร่อย แป้งที่เนียวนุ่มเป็นพิเศษของสูตรนี้ เข้าคู่กันกับชาเขียวที่ชงจากผงชนิดเข้มข้น ช่วยดับกลิ่นคาวของปลาได้ดีที่สุด

ส่วนผสมสำหรับแป้ง :
แป้งมันตรามังกรจีน 1/2 กิโลกรัม
แป้งข้าวเจ้า ตราช้างสามเศียร 1/4 กิโลกรัม
แป้งข้าวเจ้าชูถิ่น 1/4 กิโลกรัม
น้ำสะอาด

ส่วนผสมสำหรับไส้ปลา :
เนื้อปลาตาเดียว 1/2 กิโลกรัม, นึ่งจนสุก แกะเอาเนื้อออกแล้วยีตีให้ฟู
หอมแดงซอยละเอียด 1/2 กิโลกรัม
รากผักชี 2-3 ต้น
กระเทียม 1/2 ขีด
พริกไทยบด 1/4 ขีด
ถั่วลิสงคั่วบด 1/2 ขีด
น้ำตาลปี๊บ 1 ขีด
น้ำตาลทราย 1 ขีด
น้ำปลา และเกลือ

วิธีทำ :
เริ่มทำไส้ปลาโดยโขลกรากผักชี พริกไทย และกระเทียมในครกจนละเอียด
นำไปผัดในกระทะน้ำมันด้วยไฟร้อนปานกลางจนหอม
เติมหอมแดง ผัดจนโทรม เติมน้ำตาลปี๊บและน้ำตาลทราย ปรุงรสด้วยน้ำปลาและเกลือเล็กน้อย
จากนั้นเติมเนื้อปลา ผัดให้หอม หรี่ไฟลงอ่อน กวนจนแห้ง
เติมถั่วลิสง คั่วจนเข้ากันดี ยกลงจากเตาแล้วพักไว้
จากนั้นเป็นการทำแป้ง โดยร่อนแป้งทั้งสามลงในชามผสม รินน้ำทีละน้อย
ใช้มือกวนและบี้จนจับกับเป็นก้อนนิ่มๆ ก้อนใหญ่ นวดแล้วปั้นให้เป็นก้อน เจาะรูตรงกลางให้เหมือนโดนัทเพื่อไล่อากาศ

จากนั้นนำลงต้มในหม้อน้ำเดือดนานหนึ่งนาที ใช้กระชอนสะเด็ดน้ำ
แล้วนำมานวดด้วยมือ โดยขยำและบี้ให้เนื้อที่ยังเป็นผงตรงกลางแตกและเริ่มกลายเป็นเนื้อเดียวกันเยาะน้ำใส่ทีละนิด ขณะคลึงนวดให้ได้เนื้อเหนียว ทำซ้ำอีกครั้งโดยเจาะรูตรงกลางแล้วนำลงต้มอีกครั้งแต่ครั้งนี้นาน 10 นาที หรือจนแป้งสุก

สังเกตได้ว่าแป้งจะลอยตัวขึ้นบนผิวน้ำ ใช้กระชอนสะเด็ดน้ำ นำส้อมมาจิ้มเพื่อระบายอากาศ แล้วใช้มือนวดให้ได้ความนิ่มเหมือนก้นเด็ก

จากนั้นนำไปแช่ในน้ำอุณหภูมิปกติให้คลายร้อน ประมาณ 10-20 นาที แล้วนำมาสะเด็ดน้ำเพื่อนวดอีกครั้ง จากนั้นแบ่งออก ปั้นแล้วคลึงให้เป็นแผ่นบางๆ

นำไส้ปลาที่เตรียมไว้มาใส่ แล้วจับจีบที่ขอบให้เป็นเกลียวโดยพยายามอย่าให้เก็บอากาศตรงกลาง
จากนั้นนำไปนึ่งแล้วทาด้วยน้ำมันพืชเพื่อป้องกันการติดกัน

สูตรอร่อยจาก : คุณกบ ร้านขนมแป้งสิบ ตลาดสหกรณ์ ศาลาน้ำเย็น ถ.วัดสุธาวาส

ที่มา : นิตยสาร Livingetc ฉบับภาษาไทย



ข้าวต้มมัด

ส่วนผสม
ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม

หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
เกลือ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วยตวง
กล้วยน้ำว้า 1 หวี
ถั่วดำต้มแล้ว 300 กรัม

ไส้เผือกกวน

เผือกนึ่งแล้วบด 1 กิโลกรัม
น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
กะทิข้น ๆ 1 ถ้วยตวง


เครื่องห่อ 
ตอก, ใบตอง


วิธีทำ
-แช่ข้าวเหนียวในน้ำอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
-ผสมกะทิ เกลือคนให้เข้ากัน ตั้งไฟพอเดือดใส่น้ำตาลทรายลงกวนให้เข้ากัน
-จนกระทั่งพอเริ่มแห้ง ยกลง
-ฉีกใบตอง ขนาด 8 นิ้ว , 7 นิ้ว สองขนาดวางซ้อนกัน
-หยิบข้าวเหนียวที่ผัดได้ที่แล้วใส่กล้วยผ่าตามยาวครึ่งลูก หรือไส้เผือกกวน
-วางข้าวเหนียวทับไส้ให้มิดบางๆ ใส่ถั่วดำ ห่อข้าวต้มให้ สวยงาม
-มัดด้วยตอกหรือเชือกให้แน่น ประกบคู่มัดเป็นสองช่วงหัวท้าย
-นึ่งข้าวต้มที่ห่อแล้วประมาณ 45 นาที หรือ 1 ชั่วโมง จนข้าวเหนียวสุก
วิธีทำการทำเผือกกวน
-ผสมส่วนผสมทั้งหมดรวมกันตั้งไฟกวนจนแห้งปั้นได้ นำไปใส่ไส้ข้าวเหนียว


 

1.11.12

ขนมดอกจอก

ขนมดอกจอก




มีลักษณะคล้ายดอกไม้ตามรูปพิมพ์ เนื้อขนมจะกรอบร่วนแต่ไม่แข็ง ขนมจะมีรสหวานจากกะทิ

ส่วนผสม
แป้งข้าวเจ้าหอมมะลิ 100 กรัม
แป้งสาลีเอนกประสงค์ 50 กรัม
แป้งมันสำปะหลัง 90 กรัม
น้ำปูนใส 110 กรัม
กะทิ 110 กรัม
ไข่ไก่ 110 กรัม
งาขาว/งาดำ 16 กรัม
น้ำตาลทราย 90 กรัม

วิธีทำ
นวดแป้งกับน้ำกะทิ น้ำตาลทราย และน้ำปูนใส ให้แป้งละลายในส่วนผสมทั้งหมด แล้วใส่ไข่ไก่ลงไป คนส่วนผสมต่อจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วโรยงา แล้วจึงตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ไฟร้อนปานกลาง แช่พิมพ์ขนมดอกจอกในน้ำมันเพื่อให้พิมพ์ร้อนจัด ยกพิมพ์ขึ้นจากกระทะ สลัดน้ำมันเบาๆ แล้วจุ่มพิมพ์ลงในส่วนผสมของแป้ง นำลงทอดในน้ำมัน ขยับพิมพ์เล็กน้อย ขนมจะหลุดจากพิมพ์ พอเหลืองกรอบตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมัน